การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชได้เริ่มเมื่อ 200 กว่าปีที่แล้วโดย Gautheret (1985) ได้รวบรวมความเป็ยมาของการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อและกล่าวว่า Duhamel (1700-1782) ได้ค้นพบการเกิดแคลลัสจากการควั่นเอาส่วนเอาส่วนของคอร์เทกซ์ (cortex) ต้นเอล์ม (elm) ต่อมาพบว่ามีการบวมเหนือบริเวณรอยควั่นและมีหน่อใหม่แทงยอดออกมาตรงบริเวณด้านล่างของรอยควั่น แต่ในสมันนั้นยังไม่ได้ค้นพบเทคนิคปลอดเชื้อ จึงไม่ได้ทดลองติดตาม
ในปี ค.ศ.
1838 Schwann และ Schleiden ได้เสนอทฤษฎีเซลล์
และในส่วนหนึ่งของทฤษฎีนี้ได้กล่าวไว้ว่าเซลล์แต่ละเซลล์ของสิ่งมีชีวิตนั้นมีคุณสมบัติหนึ่งที่เรียกว่า
totipotency หมายถึง
ความสามารถในของเซลล์ที่จะมีการพัฒนาไปเป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์ใหม่เมื่อได้รับสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
(คำนูณ กาญจนภูมิ. 2542 : 1)
Street (1977) นิยายคำว่า “การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช” ไว้ว่าหมายถึง การเพราะเลี้ยงชิ้นส่วนพืช (explant) ซึ่งอาจมีหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งเนื้อเยื่อ แล้วได้เป็นแคลลัสขึ้นมา
โดยไม่มีโครงสร้างหรือหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมกับเนื้อเยื่อเดิมเลย นอกจากนี้ Street ยังได้ให้คำนิยามอื่นๆ
ของการเพาะเลี้ยงอีก เนื่องจากพืชประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ
ซึ่งแต่ละอวัยวะก็ประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อหลายชนิด
ดังนั้นการเพาะเลี้ยงในหลอดทดลองจึงแบ่งออกเป็นหลายชนิด คือ (คำนูณ กาญจนภูมิ.
2542 : 7)
1. การเพาะเลี้ยงพืชทั้งต้น
คือ การนำเอาเมล็ดไปเพาะในหลอดทดลองจนเป็นต้นกล้าและพืชที่สมบูรณ์ต่อไป เช่น
การเพาะเมล็ดกล้วยไม้
2. การเพาะเลี้ยงเอ็มบริโอ
คือ การเพาะเลี้ยงเอ็มบริโอไม่ว่าแก่หรืออ่อน
หลังจากที่แยกเอาเปลือกหุ้มเมล็ดออกไปแล้ว
3. การเพาะเลี้ยงอวัยวะ คือ
การเพาะเลี้ยงส่วนต่างๆ ของอวัยวะพืชที่แยกออกมา เช่น ปลายยอด ปลายราก ดอก ผล
อับเรณู
4. การเพาะเลี้ยงแคลลัส
คือ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อที่เกิดใหม่จากการเพาะเลี้ยงส่วนต่างๆ ของพืช
5. การเพาะเลี้ยงเซลล์แขวนลอย
คือ การเพาะเลี้ยงเซลล์เดี่ยวหรือกลุ่มเซลล์ที่ได้มาจากแคลลัสในอาหารเหลวที่มีการเขย่าตลอดเวลา
6. การเพาะเลี้ยงโพรโทพลาสต์ คือ
การเพาะเลี้ยงเซลล์ที่ผนังเซลล์ถูกย่อยด้วยเอนไซม์สารเร่งการเจริญเติบโต
การเติมสารที่ช่วยการเจริญลงไปในอาหารนับว่ามีความสำคัญที่จะช่วยให้เนื้อเยื่อเหล่านั้นเจริญได้ดีขึ้น เช่น ออกซิน (auxin), ไซโตไคนิน (cytokinin) และจิบเบอเรลลิน (gibberellin) อย่างไรก็ตามความต้องการของของเนื้อเยื่อต่อสารเหล่านี้ก็แตกต่างกันไปและเชื่อว่ามันเกี่ยวข้องกับระดับฮอรโมนที่มีอยู่ภายในพืชด้วย
ออกซิน ((auxin) ในธรรมชาติฮอร์โมนกลุ่มนี้เกี่ยวข้องกับการยืดของลำต้นและปล้อง, การโค้งเข้าหาสิ่งเร้า (tropism), การยับยั้งการเจริญของตาข้าง (apical dominance), การหลุดร่วงของใบ ดอกและผล, การเกิดราก เป็นต้น ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชได้นำเอาออกซินไปใช้ในการกระตุ้นการแบ่งเซลล์และการเกิดราก ออกซินที่นิยมใช้ในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
IAA
|
(Indoleacetic acid)
|
IBA
|
(Indole-3-butyric acid)
|
NAA
|
(Naphthalene acetic acid)
|
NOA
|
(Naphthoxyacetic acid)
|
p-CPA
|
(para – Chlorophenoxyacetic acid)
|
2,4-D
|
(2,4 – Dichlorophenoxy acetic acid)
|
2,4,5-T
|
(2,4,5 – Trichlorophenoxy acetic acid)
|
อย่างไรก็ตามออกซินที่นิยมใช้กันแพร่หลายได้แก่ IBA และ NAA เพื่อกระตุ้นให้เกิดราก และใช้ร่วมกับไซโตไคนินเพื่อการเจริญของต้น ส่วน 2,4-D และ 2,4,5-T มีผลต่อการกระตุ้นให้เกิดการเจริญของแคลลัสได้ดี โดยทั่วไปการละลายออกซินให้แอลกอฮอล์ (ethanol) หรือ NaOH เจือจางเป็นตัวทำละลาย
ไซโตไคนิน (cytokinin) ฮอร์โมนกลุ่มนี้มีผลต่อการแบ่งเซลล์ ช่วยการเจริญของตาข้าง การเกิดและการเจริญของต้น การเติมไซโตไคนินลงไปในอาหารที่เพาะเลี้ยงก็เพื่อช่วยให้กระตุ้นการแบ่งเซลล์และการเปลี่ยนแปลงไปเป็นหน่อเล็กๆ (adventitious shoot) จากส่วนของแลลลัสหรืออวัยวะที่เพาะเลี้ยง ไซโตไคนินที่นิยมใช้มีดังนี้
BAP
|
(Benzylamino purine)
|
2,iP
|
(Isopentonyl - adenine)
|
Kinetin
|
(6 – Furfurylamino purine)
|
การละลายไซโตไคนินใช้กรดเกลือเจือจาง HCl หรือ NaOH เจือจาง
จิบเบอเรลลิน (gibberellin) ที่ทราบอยู่ในปัจจุบันมีมากกว่า 20 ชนิด ที่ใช้กันทั่งไป คือ GA3 การละลายใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย (น้ำเย็น) (บุญยืน กิจวิจารณ์, 2544 : 18-19)
ห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
ห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วนคือ
1. ห้องเตรียมอาหาร (Medai preparation room) ควรเป็นห้องที่มีโต๊ะสำหรับเตรียมสารเคมี อ่างน้ำ ตู้เย็น สำหรับเก็บสารละลายเข้มข้น เครื่องชั่ง เครื่องวัดความเป็นกรด-ด่าง เตาหลอมอาหาร หม้อนึ่งฆ่าเชื้อจุลินทรีย์แบบความดันไอน้ำ
2. ห้องถ่ายเนื้อเยื่อ (Transfer or incubation room) เครื่องมือสำคัญในห้องนี้คือ ตู้สำหรับเลี้ยงหรือถ่ายเนื้อเยื่อเป็นตู้ที่มีอากาศถ่ายเทผ่านแผ่นกรอง ที่สามารถกรองจุลินทรีย์ไว้ได้ตลอดเวลา ทำให้อากาศภายในตู้บริสุทธิ์ ช่วยให้ทำงานสะดวกรวดเร็ว
3. ห้องเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช (Culture room) สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเลี้ยงเนื้อเยื่อจะแตกต่างกันสำหรับพืชแต่ละชนิด โดยทั่วไปมักจะปรับสภาพแวดล้อมภายในห้องให้มีอุณหภูมิประมาณ 25 องศาเซลเซียส ระยะเวลาที่ให้แสงประมาณ 12-16 ชั่วโมง/วัน ความเข้มของแสง 1,000-3,000 ลักซ์
การดูแลห้องเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชจะต้องสะอาดอยู่เสมอ หมั่นตรวจดูขวดหรือภาชนะที่เลี้ยงเนื้อเยื่อพืช ถ้าพบว่ามีจุลินทรีย์ขึ้นปะปน จะต้องรีบนำออกไปต้มฆ่าเชื้อและล้างทันทีไม่ให้เป็นที่สะสมเชื้อจุลินทรีย์ ซึ่งอาจแพร่กระจายภายในห้องได้
2. เครื่องแก้วต่าง ๆ ได้แก่ ฟลาสค์ บีคเกอร์ ปิเปตต์ จานเพาะเชื้อ กระบอกตวง ขวดสำหรับเลี้ยงเนื้อเยื่อ
3. สารเคมีต่าง ๆ
- สารเคมีที่ใช้ฆ่าเชื้อที่ติดมากับผิวพืช เช่น คลอรอกซ์ เอททิลแอลกฮอล์ เมอคิวริคคลอไรด์ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์
- สารเคมีที่ใช้เตรียมสูตรอาหารต่าง ๆ
- สารเคมีที่ควบคุมการเจริญเติบโต
- น้ำตาลซูโครส
- ผงวุ้น
4. เครื่องมือผ่าตัด ได้แก่ มีดผ่าตัด ปากคีบ
5. ตู้ถ่ายเนื้อเยื่อ
6. อุปกรณ์เบ็ดเตล็ดต่าง ๆ
7. อาหารเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
วิธีการเตรียมอาหารเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
1. นำสารละลายเข้มข้นชนิดต่าง ๆ มาผสมกัน ค่อย ๆ กวนให้เข้ากันจนหมดครบทุกชนิด
2. เติมน้ำตาล แล้วเติมน้ำกลั่นให้ได้ปริมาตรที่ต้องการ ปรับ pH 5.6 – 5.7
3. นำวุ้นผสมกับอาหารที่เตรียม หลอมวุ้นให้ละลาย
4. บรรจุลงในขวดอาหารในปริมาตรเท่า ๆ กัน ปิดฝาให้สนิท
5. นำอาหารไปนึ่งในหม้อนึ่งความดันไอน้ำเพิ่อฆ่าเชื้อ
ประโยชน์ของวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมีหลายข้อพอสรุปได้ดังนี้
1. สามารถผลิตต้นพันธุ์พืชปริมาณมาณมากในระยะเวลาอันรวดเร็ว
ตัวอย่างเช่น หากพืชสามารถเพิ่ม ปริมาณได้ 3 เท่า
ต่อการย้ายเนื้อเยื่อลงอาหารใหม่ทุกเดือนๆ ละ 1 ครั้ง
เมื่อเวลาผ่านไป 6 เดือน จะสามารถผลิต ต้นพันธุ์พืชได้ถึง 243
ต้น
2. ต้นพืชที่ผลิตได้จะปลอดโรค โดยเฉพาะโรคที่มีสาเหตุจากเชื้อไวรัส
มายโคพลาสมา ด้วยการตัด เนื้อเยื่อเจริญที่อยู่บริเวณปลายยอดของลำต้น ซึ่งยังไม่มีท่อน้ำท่ออาหาร
อันเป้นทางเคลื่อนย้ายของเชื้อโรค ดังกล่าว
3. ต้นพืชที่ผลิตได้ จะมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนต้นแม่ คือ
มีลักษณะตรงตามพันธุ์ ด้วยการใช้
เทคนิคของการเลี้ยงจากชิ้นตาพืชพัฒนาเป็นต้นโดยตรง หลีกเลี่ยงขั้นตอนการเกิดกลุ่มก้อนเซลล์ที่เรียกว่า
แคลลัส
4. ต้นพืชที่ผลิตได้จะมีขนาดสม่ำเสมอ
ผลผลิตที่ได้มีมาตรฐานและเก็บเกี่ยวได้คราวละมากๆ พร้อมกัน หรือในเวลาเดียวกัน
5. เพื่อการเก็บรักษาหรือแลกเปลี่ยนพันธุ์พืชระหว่างประเทศ เช่น การมอบเชื้อพันธุ์กล้วยในสภาพปลอดเชื้อ
ขององค์กรกล้วยนานาชาติ (INIBAP) ให้กรมส่งเสริมการเกษตร
เมื่อปี พ.ศ. 2542
6. เพื่อประโยชน์ด้านการสกัดสารจากต้นพืช นำมาใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ
เช่น ยาฆ่าแมลง ยารักษาโรค เป็นต้น
_____✱✱✱✱✱✱_____
ตัวอย่างงานวิจัย (For research)
References : Guek Eng Sim . Chiang Shiong Loh . Chong Jin Goh
Plant Cell Rep (2007) 26:383–393
Plant Cell Rep (2007) 26:383–393
กล้วยไม้ที่ออกดอกตามปกติจะเจริญในหลายประเทศเขตร้อน
เช่น ประเทศไทย สิงคโปร์ และมาเลเซีย
การเพาะเลี้ยงให้ออกดอกในหลอดทดลองจะช่วยประเมินลักษณะที่ต้องการบางอย่างของดอก
เช่น ขนาด รูปร่าง โทนสี การแปรผันสีดอก
เมื่อได้ลักษณะที่ต้องการจะถูกนำมาเพิ่มจำนวนขยายพันธุ์ผ่านการ
เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ กล้วยไม้ที่ออกดอกในหลอดทดลอง จะมีดอกขนาดเล็กซึ่งมีมูลค้าสูงในเชิงการค้า ซึ่งการทดลองในครั้งนี้เพื่อย่นระยะเวลาในการออกดอกของ Dendrobium Madame Thong-In ที่ยังมีอายุน้อยในหลอดทดลอง และเพื่อศึกษาผลของ CW (Coconut water) และ BA (Benzylaminopurine) ในสูตรอาหาร two-layered medium ในการชักนำเนื้อเยื่อเจริญช่อดอกให้
ขั้นตอนการทดลอง
1. เตรียมอาหาร KC สูตรดัดแปลง 25 mL โดยมีส่วนผสมของ Sucrose 2% , Coconut water 15% , Activated charcoal 0.03% , Agar 0.3%
2. นำอาหาร KC ที่เตรียมนึ่งในหม้อนึ่งความดึนไอน้ำ(atoclaveing 1 kg cm-2) ที่อุณหภูมิ 121 ๐C นาน 20 นาที
3. ล้างฝักกล้วยไม้ให้สะอาด จากนั้นนำมาฟอกฆ่าเชื้อด้วย clorox 100% ผ่าฝักตามยาวเพื่อนำมาเพาะเลี้ยงในอาหาร KC สูตรดัดแปลง
4. เมื่อทำการเพาะเลี้ยงผ่านไปเป็นเวลา 2 เดือน ทำการย้าย green protocorms ที่มีความสูง 2-3 mm และมี 2-3 ใบมายังสูตรอาหาร basal liquid medium ที่เสริม
4.4 μM BA (K1) ทำการเพาะเลี้ยงใน Erlenmeyer flasks ขนาด 100 ml
5. เมื่อ protocorms เจริญแล้วทำการย้ายมาเพาะเลี้ยงยังสูตรอาหาร Two-layered medium ที่มีส่วนประกอบของ 0.3% Gelrite -
solidified basal medium (KR) 50 ml 0.03% ผงถ่าน วางทับด้วย Basal
liquid medium 20 ml เสริมด้วย 22.2
μM BA (K5)
ตารางสูตรอาหาร Two - layered medium
6. ศึกษาระยะการเจริญของ protocorms บนสูตรอาหาร
two-layered medium
• state II, เริ่มมีก้านช่อดอก
• stage III, เริ่มมีตาดอก
ผลการทดลอง
Fig. In vitro flowering of Dendrobium Madame Thong-In. ( Bar : 1 cm)
![]() |
Fig a. Protocorms Fig b. shoots withnormal (N) and abnormal flowers (ab) in liquid medium |
![]() |
Fig c. flowers bloomed after 34 days Fig d. shoot showing an inflorescence stalk with 6 flowers
|
![]() |
Fig e. two white flowers before pollination Fig f. one seedpod set after cross-pollinated
|
สรุปผลการทดลอง
qในกล้วยไม้ Dendrobium
Madame Thong - In, CW เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเจริญของ protocorms และการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อเจริญปลายยอดไปเป็นเนื้อเยื่อเจริญช่อดอก
qการศึกษาครั้งนี้พบว่า CW เป็นส่วนสำคัญสำหรับการชักนำให้เกิดก้านช่อดอกใน D. Madame Thong - In ที่สอดคล้องกับ Doriella Tiny
(Duan and Yazawa 1994)
q
ไซโตไคนินเป็นส่วนสำคัญที่ใช้ในการออกดอกในหลอดทดลอง (Nitsch และ Nitsch 1967; Bernier 1988; Peeters et al.1991)
q การเติมไซโตไคนิน iPAdos (isopentenyl adenosine) พบว่าจะมีประสิทธิภาพกระตุ้นการสร้างตาดอกในหลอดทดลองใน
Arabidopsis (He and Loh 2002)
q ในการศึกษานี้ BA
เพียงอย่างเดียวไม่ได้มีประสิทธิภาพในการชักนำให้เกิดดอก
อย่างไรก็ตามจะต้องมี CW ร่วมด้วย
เอกสารอ้างอิง
Guek Eng
Sim. Chiang Shiong Loh. Chong Jin Goh. Plant cell Rep (2007) 26 : 383-393
บุญยืน กิจวิจารณ์. เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช. ขอนแก่น : คลังนานาวิทยา, 2544
คำนูณ กาญจนภูมิ. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณืมหาวิทยาลัย, 2542
บุญยืน กิจวิจารณ์. เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช. ขอนแก่น : คลังนานาวิทยา, 2544
คำนูณ กาญจนภูมิ. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณืมหาวิทยาลัย, 2542
http://www.kasetcity.com/data/articledetails.asp?GID=240
http://www.freewebs.com/sakesan/main_issue.htm
http://www.freewebs.com/sakesan/main_issue.htm
_____✱✱✱✱✱✱_____
ติดต่อ : Minbotbio@gmail.com
58 ม.10 อ.ชื่นชม จ.มาหาสารคาม หรือ
คณะวิทยาศาตร์ ภาควิชาชีววิทยา จังหวัดมหาสารคาม
ทำเสร็จแล้ว ขอหน่อยนะเค้าจะเอาไปปลูกที่บ้าน
ตอบลบโอเคเลย :)
ลบ